วิทยาศาตร์

เอกภพ (universe) คือ ระบบรวมของกาแล็กซี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 100,000 ล้านกาแล็กซี ระหว่างกาแล็กซีเป็นอวกาศที่เวิ้งว้างกว้างไกล เอกภพมีรัศมีไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านปีแสง มีอายุประมาณ 15,000 ล้านปี เอกภพจึงเป็นปริมณฑลอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีขอบเขต ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่ในเอกภพทั้งสิ้น
      นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เอกภพเกิดจากการเปลี่ยนพลังงานเป็นสสาร มีอนุภาคพื้นฐานเกิดขึ้นตามทฤษฎีบิกแบง บิกแบงเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงการระเบิดครั้งใหญ่ และมีผลทำให้เกิดวิวัฒนาการต่อเนื่องจนกลายเป็นกาแล็กซี เนบิวลา ดาวฤกษ์ ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ โลก ดวงจันทร์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ

รูปแสดงบิกแบงแรูปแสดงบิกแบงและวิวัฒนาการของเอกภพละวิวัฒนาการของเอกภพ

     กาแล็กซี คือ อาณาจักรของดาวฤกษ์ที่อยู่รวมกันนับแสนล้านดวง ตรึงไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงระหว่างดวงดาวหรืออาจมีหลุมดำอยู่บริเวณใจกลางร่วมด้วย โดยมีกลุ่มก๊าซเนบิวลาหรือฝุ่นละอองแทรกอยู่ในที่ว่างระหว่างดาวฤกษ์ กาแล็กซีเกิดหลังบิกแบงประมาณ 1,000 ล้านปี หรือประมาณ14,000 ล้านปีมาแล้ว เกิดจากกลุ่มก๊าซแยกเป็น   กลุ่มๆ มีแรงโน้มถ่วงร่วมกัน แต่ละกลุ่มก่อกำเนิดดาวฤกษ์จำนวนมาก
     กาแล็กซีที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีเพียง 3 กาแล็กซี คือ
           1.กาแล็กซีแอนโดรเมดา
           2.กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่
           3.กาแล็กซีแมกเจลแลนเล็ก

รูปร่างของกาแล็กซี่

        1.กาแล็กซีกลมรี ( Elliptical Galaxy )
           มีลักษณะกลมรี บางกาแล็กซีอาจกลมมาก บางกาแล็กซีอาจรีมาก



        2.กาแล็กซีก้นหอย (  Spiral Galaxy )
           มีแขนโค้งเหมือนลายก้นหอยหรือกังหัน ตัวอย่างเช่น กาแล็กซีทางช้างเผือก กาแล็กซีแอนโดรเมดา เป็นต้น กาแล็กซีที่พบส่วนใหญ่ในเอกภพจะเป็นกาแล็กซีประเภทนี้



         3.กาแล็กซีก้นหอยคาน  ( Bar-Spiral Galaxy ) 
            มีลักษณะคล้ายคลึงกับกาแล็กซีก้นหอย แต่ตรงกลางมีลักษณะเป็นคานและมีแขนแบบกาแล็กซีก้นหอยต่อออกมาจากปลายคานทั้งสอง



          4.กาแล็กซีไร้รูปร่าง ( Irregular Galaxy )
             มีรูปร่างลักษณะแตกต่างออกไปจากกาแล็กซีทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวมาแล้ว เป็นกาแล็กซีส่วนน้อย ซึ่งไม่มีรูปร่างชัดเจน กาแล็กซีไร้รูปร่างมักมีขนาดเล็ก มีความสว่างน้อย เช่น กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่ กาแล็กซีแมกเจลแลนเล็ก เป็นต้น





ที่มา : http://www.krugoo.net/archives/category/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%885-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%9E/%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%9E
       
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติ

ผู้จัดทำ : 1.เด็กชายเตชินท์  กอมณี
            2.เด็กชายพีรัช  เข็มแก้วมะลี


บทคัดย่อ


โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติ เพื่อผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติและ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติที่ได้ผลิตขึ้น ได้ดำเนินการโดยนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นและหาได้ง่าย อาทิเช่น ใยมะพร้าว แกลบ และฟางข้าวมาผสมกับน้ำยางพารา น้ำกลั่น และกรดเบนโซอิกในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน ก่อนนำไปอบให้แห้งจนได้สัดส่วนที่เหมาะสมในการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อน แล้วนำมาทดสอบประสิทธิภาพในการเป็นฉนวนกันความร้อน ผลการดำเนินงานพบว่าอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างน้ำยางพารากับน้ำกลั่น คือ 1:3 โดยมวลต่อปริมาตร ปริมาณของกรดเบนโซอิกที่พอเหมาะ คือ ร้อยละ 5 และผลการทดสอบประสิทธิภาพของแผ่นฉนวนกันความร้อน พบว่า แผ่นฉนวนกันความร้อนที่มีส่วนผสมของฟางข้าวสามารถป้องกันความร้อนได้ดีที่สุด รองลงมาได้แก่ แผ่นฉนวนกันความร้อนที่มีส่วนผสมของแกลบและใยมะพร้าว ตามลำดับ


จุดประสงค์
                 1. เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติ
                2. เพื่อผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติ
                3. เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติ
สมมติฐาน
                วัตถุดิบธรรมชาติสามรถนำมาผลิตเป็นฉนวนกันความร้อนได้

 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

              1.เพิ่มทางในการผลิตแผ่นฉนวนกันความร้อน
              2.ได้ฉนวนกันความร้อนจากธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
              3.สามารถนำเศษวัสดุธรรมชาติมาทำฉนวนกันความร้อนได้                   
              4.ประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
              5.ประหยัดกระแสไฟฟ้า
              6.ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ
              7.ช่วยลดภาวะโลกร้อน

สรุปผลการดำเนินงาน

1.การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างน้ำยางพารากับน้ำกลั่น พบว่า อัตราส่วนที่ 1:1 และ 1:3 เป็นอัตราส่วนที่สามารถขึ้นรูปได้ และในอัตราส่วน 1:3 เป็นอัตราส่วนที่สามารถขึ้นรูปได้ดีที่สุด
2.จากการศึกษาปริมาณของกรดเบนโซอิกที่เหมาะสม พบว่า ปริมาณความเข้นข้นของกรดเบนโซอิก 5% เป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากสามารถทำให้ยางพาราแข็งตัวได้และใช้เวลาแข็งตัว 10 นาที
3.จากการทดลองประสิทธิภาพของแผ่นฉนวนกันความร้อน พบว่า
   3.1 ในเวลา 5 นาที แผ่นฉนวนกันความร้อนที่กันความร้อนได้ดีที่สุด คือ แผ่นฉนวนกันความร้อนจากฟางข้าว แกลบ และใยมะพร้าว ตามลำดับ
   3.2 ในเวลา 10 นาที แผ่นฉนวนกันความร้อนที่กันความร้อนได้ดีที่สุด คือ แผ่นฉนวนกันความร้อนจากแกลบ ฟางข้าว และใยมะพร้าว ตามลำดับ
แผ่นฉนวนกันความร้อนจากแกลบ ฟางข้าว และใยมะพร้าว ตามลำดับ  
   3.3 ในเวลา 15 นาที แผ่นฉนวนกันความร้อนที่กันความร้อนได้ดีที่สุด คือ แผ่นฉนวนกันความร้อนจากฟางข้าว แกลบ และใยมะพร้าว ตามลำดับ  
4.จากการเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนของแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้ง 3 ชนิด คือ ใยมะพร้าว แกลบ และฟางข้าว พบว่า แผ่นฉนวนกันความร้อนที่มีส่วนผสมของฟางข้าวมีประสิทธิภาพดีที่สุด รองลงมาเป็นแผ่นฉนวนกันความร้อนที่มีส่วนผสมของแกลบ และใยมะพร้าว ตามลำดับ
   ฟางข้าว > แกลบ > ใยมะพร้าว

อภิปรายผล

 1.จากการทดลอง พบว่า ฉนวนกันความร้อนที่มีส่วนผสมของฟางข้าวมีประสิทธิภาพดีที่สุด เพราะว่า ฟางข้าวมีสีจางกว่าแผ่นฉนวนกนความร้อนที่มีส่วนผสมของใยมะพร้าวและแกลบจึงทำให้ไม่ดูดซับความร้อนและสะท้อนความร้อนกลับ
 2.จากการทดลอง พบว่า ฉนวนกันความร้อนที่มีส่วนผสมของฟางข้าวมีประสิทธิภาพดีที่สุด เพราะว่า ผิวของฟางข้าวมีความมันวาว        

ข้อเสนอแนะ

1) ควรศึกษาพืชให้หลากหลายชนิดมากยิ่งขึ้น
2) ควรทำวัตถุดิบให้มีอนุภาคที่มีขนาดเล็กลงและเท่าๆกัน
3) ควรเลือกใช้สารเคมีชนิดอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น